ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สายตากว้างไกล

๑๔ มี.ค. ๒๕๕๓

 

สายตากว้างไกล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาคิดถึงสายตาของคนที่กว้างไกลเห็นไหม ความกว้างไกลนะมันจะมองภาพและทำความเข้าใจได้ สายตาเราไม่กว้างไกล พอสายตาไม่กว้างไกล เราทำอะไรไปเราจะกลัวความขัดแย้ง ความขัดแย้งว่าถ้าเราทำไปแล้วมันมีความขัดแย้ง แต่ถ้าเราพูดถึงสายตามีความกว้างไกลเมื่อมีความขัดแย้งนั้นมันขัดแย้งเพื่อดี อย่างเช่นความเห็นต่างนี่ พวกเราไม่มีใครไม่ยอมรับความเห็นต่างนะ

แต่ความเห็นต่างมันต้องมีเหตุผลใช่ไหม ความเห็นต่างต้องมีเหตุผลว่าของใครหรือเห็นต่างนี่เสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก เสียงข้างมากต้องยอมรับฟังเสียงข้างน้อยด้วย ว่าเสียงข้างน้อยมีความเห็นเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีความเห็นต่างเลยก็ไม่ใช่ อันนี้ความเห็นต่าง ถ้าเสียงข้างน้อย เสียงข้างมาก ถ้ามันถูกต้อง มันจะดีงามขนาดไหน

ฉะนั้นเวลามุมมองของคน… อันนี้พูดถึงประสาว่านี่เรื่องหยาบๆนะ เรื่องโลกๆนะเพราะอะไรรู้ไหม เพราะถ้าภาวนาไป มันจะมีปุถุชน พื้นฐานพวกเรานี้คือปุถุชน กัลยาณปุถุชน ถ้าคนภาวนาเข้าไปมันจะเห็นต่าง ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล ความหยาบ ความละเอียดที่ลึกซึ้งของปัญญานี่แตกต่างมาก

ปุถุชน กัลยาณปุถุชน แยกกันตรงไหน เราเป็นปุถุชน ตรงไหนแยกเป็นกัลยาณปุถุชน ดูซิ อย่างปุถุชนนะ พอพูดอย่างนี้ มันก็มีประเด็นขึ้นมาแล้ว ประเด็นที่ว่า อย่างเช่นหลวงตา มีคนบอกว่า หลวงตาโทสะคือว่าอารมณ์รุนแรง พูดอะไรก็ออกเลยๆ

ทีนี้จะเราพูดถึงปุถุชนไง ปุถุชน คือ คนที่ควบคุมใจไม่ได้ ปุถุชนเป็นคนที่ควบคุมความรู้สึกไม่ได้ แบบมันจะมีอารมณ์กระทบแรงไง กัลยาณปุถุชน คือ คนที่ควบคุมจิตได้ มันจะสงบได้ง่าย เพราะมันตัดรูปกระทบ รูป รส กลิ่น เสียง มันกระทบจิต จิตนี้พอมันถูกกระทบมันจะแรง มันจะไปหมดเลย นี่คือ ปุถุชน คือฉุนเฉียว เราก็มีอารมณ์ฉุนเฉียว เราเป็นปุถุชน อะไรกระทบแล้วแบบว่ามันคุมใจไม่ได้ แล้วฝึกฝนๆๆ ฝึกฝนจนเห็น รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมารเป็นบวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียงมันกระทบกับจิต สิ่งที่กระทบนี้เราควบคุมได้ ควบคุมจิตเราได้ สิ่งที่มันกระทบมันก็ผ่าน แล้วก็ผ่าน นี่คือ กัลยาณปุถุชน มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่การแสดงออก การแสดงออกของสติ

ทีนี้โลกเขาจะมองกันเห็นไหม ไปหาพระที่ไหนก็แล้วแต่ โอ้โฮ!สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมากเลย แต่ไปหาหลวงตาพูดคำเดียวนี่หลวงตาสอยปั้งๆๆเลยนะ อย่างนี้ฉุนเฉียวไหม นี่ไง ฉุนเฉียวไหม อย่างนี้ไม่ใช่ฉุนเฉียว อย่างหลวงตานี่มันเหมือนกับพ่อกับลูก ลูกเรานี้ผิดพลาดพ่อจะเตือนลูกไหม แล้วพ่อจะเตือนลูก พ่อไม่ได้ฉุนเฉียวให้ลูกนะ พ่อเห็นความผิดพลาดของลูก พ่อถึงบอกลูกว่าอันนี้ผิดพลาด อันนี้ถูกต้องดีงามไม่ผิดพลาด แล้วมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่จะเอาลูกไว้จนเป็นลูกที่จะเชื่อฟังพ่อแม่ได้โดยง่าย

เพราะอะไร ถ้าคนที่ยังไม่เคยเป็นพ่อแม่คนนะ พูดได้หมด มีลูกต้องเลี้ยงอย่างนี้นะ ตามตำรา กางตำรา เวลาเลี้ยงลูกจะเป็นอย่างนั้นไหม ทีนี้เราจะบอกว่าพ่อกับลูก หมายความว่า คนที่จะเป็นพ่อต้องเป็นพ่อโดยข้อเท็จจริง ไม่ใช่อย่างเรานี่พ่อฝึกหัดอยากเป็นพ่อ เห็นเด็กไม่ได้เลยวิ่งเข้าไปเลย อยากเป็นพ่อ แต่ไม่เคยเป็นนี้พ่อฝึกหัด ไม่ได้เป็นด้วยความเป็นจริง แต่พ่อจริงๆ เขาผ่านความเป็นลูกมา เขาจึงเป็นพ่อเป็นแม่มา

เราจะบอกว่าหลวงตานี่ท่านผ่านการปฏิบัติมา คนที่ผ่านการปฏิบัติมา ท่านจะรู้ว่ามุมมองความคิดอย่างนี้ มันอยู่ในมุมมองไหน ขั้นตอนไหน ที่พ่อควรจะให้คติ ให้คำสอน ฉะนั้น คำพูดอย่างนี้เวลาเขาไปถามหลวงตา

หลวงตาครับ อย่างนี้ๆๆ หรือเปล่าครับ

ถ้าเรื่องที่ไม่เป็นปัญหา ท่านจะตอบรับได้นิ่มนวลนะ แต่ถ้าเรื่องไหนเป็นประโยชน์กับคนถามนะ ท่านจะปั๊บ พอปั๊บ มันจะกระเทือนใจคนนั้น เหมือนพ่อสอนลูก มันกระเทือนใจคนนั้น อย่างเช่นคนที่พูดคำนี้บ่อยๆ คือ ดอกเตอร์คนหนึ่ง เขาบอกเลยว่าเขาเคยไปหาอาจารย์ของเขาไม่มีปัญหาเลย ไปหาหลวงตาพูดแค่คำสองคำเท่านั้นละ โอ๊ย! เป็นฟืนเป็นไฟเลย แต่คำตอบที่เป็นฟืนเป็นไฟด้วยคำที่ว่า

พอไปหาหลวงตา พอบอกว่าเขาเป็นดอกเตอร์

หลวงตาบอกว่า ดอกเตอร์นี่ มีทั้งดีและเลว ดอกเตอร์เลวๆ ก็เยอะ

เขารับตรงนี้ไม่ได้ เขาหาว่าอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เขา แล้วคำพูดนี้มันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ นี้ไง แต่คนไม่มองตรงนั้นไง เขามองว่าถ้าเป็นพระที่ดีนะ

ผมเป็นดอกเตอร์

อ้อ! ดอกเตอร์นี้ เป็นผู้วิเศษ

ดอกเตอร์นี้มาจากฟ้า

ดอกเตอร์นี้สุดยอดคน โอ้โฮ! เขาจะปลื้มใจมากเลย

แต่หลวงตาท่านบอกว่า ดอกเตอร์เหมือนเป็นดอกเตอร์เฉยๆ ดอกเตอร์ที่เลวก็มี ดอกเตอร์ที่ดีก็มี แค่นี้เขารับไม่ได้ นี้นะพ่อกับลูก พ่อสอนไง เพราะอะไร เขาเป็นดอกเตอร์ใช่ไหม สังเกตได้ไหม หลวงตาจะพูดเรื่องหมอนี้บ่อยมาก บอกหมอนี้เป็นปัญญาชน แต่หมอเข้าธรรมะน้อยเห็นไหม นี้คือปัญญาชน ถ้าคนที่จะมาสอนมันต้องมีปัญญาที่เหนือกว่า เพื่อจะชักนำเขามาให้สู่ธรรมะ ให้เป็นคุณงามความดีของเขา

เราจะบอกว่า คำว่าปุถุชน กัลยาณปุถุชน มันจะเปรียบตรงนี้ แต่เราไปมองครูบาอาจารย์ ที่สิ้นกิเลสไปแล้วว่าทำไมท่านแสดงกิริยาอย่างนี้เหมือนกัน

ดูอย่าง หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกว่า หลวงปู่มั่นนี้ดุมากๆๆ แล้วดุมาก ดุเพื่ออะไร ดุเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาวางธรรมะไว้นี่ จริงๆนะเราไม่อยากจะพูดคำว่าสังคมไทย สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ได้รับบุญกุศลความร่มเย็นเป็นสุขจากหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นองค์เดียวที่ท่านพยายามรื้อค้นของท่าน ท่านวางรากฐานวัฒนธรรมประเพณีไว้ให้พวกเราร่มเย็นเป็นสุข

แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วย บอกว่า โอ๊ย! หลวงปู่มั่นนี้ ฉุนเฉียวมาก โกรธมาก ทำอะไรรุนแรง เห็นไหม เราจะบอกว่าคำว่าหยาบละเอียดไง ปุถุชน กัลยาณปุถุชน กิริยามันอันเดียวกัน แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติไปแล้วมันจะรู้แล้วเห็นจากภายใน ถ้ารู้เห็นจากภายในมันจะสัมผัสได้ไง

หลวงตาบอกเลยนะ ถ้าไม่มี พยายามจะพูดให้มีก็ไม่มี อย่างเช่น เป็นลูกศิษย์ของใครก็แล้วแต่ แล้วจำเทศน์ของครูบาอาจารย์ได้ จะพูดให้เหมือน พูดให้ซ้ำ ให้คนยอมรับไม่มี เราถึงพูดบ่อย อย่างเช่น หลวงปู่มั่น อย่างเช่นหลวงตา ครูบาอาจารย์ เราบอกเลยนะ บารมีธรรมนี่โอนให้กันไม่ได้หรอก ใครอย่าคิดว่าจะเป็นตัวแทนหลวงตา ไม่มี ไม่มีหรอก หลวงตาก็คือหลวงตา บารมีของท่าน ท่านสร้างของท่าน โอนให้ใครไม่ได้ ไม่ใช่มรดกที่จะโอนให้กัน ไม่มีหรอก ใครทำก็เป็นของคนๆนั้น

ฉะนั้นเราไปจำมา แล้วจะไปพูดให้เหมือนนะ ไม่เหมือนหรอก มันไม่เหมือน เราคนพูดคิดว่าเหมือน แต่คนที่ภาวนาเป็น มันฟังออก มันฟังออกเลยว่า อันนี้ถ้าจำมา มันจำมาเห็นไหม อย่างเช่น บ้านของเรา ในบ้านของเรา โยมเดินผ่านหน้าบ้าน นี่บ้านของพระๆๆ แล้วเคยเข้าบ้านพระไหม เคยเห็นว่าในบ้านนั้นมีอะไรไหม เอ็งก็คิดว่าบ้านของเขาๆ แต่ในบ้านเขามีอะไรเอ็งรู้ไหม

แต่ถ้าเป็นเจ้าของบ้านเขารู้นะ เขาเข้าออกบ้านเขา ทีนี้บ้านเหมือนบ้านไหม คนที่มีบ้านใกล้เคียงกัน มีบ้านเหมือนกันเห็นไหม นี่ไง มันคุย มันไม่แตกต่างหรอก มันจะเหมือนกันได้ แต่คนที่ไม่มีบ้าน เราผ่านไปผ่านมา เราไม่รู้หรอกว่าบ้านใครเป็นบ้านใคร ไม่รู้หรอก ฉะนั้นจำขนาดไหน พูดก็ผิดทั้งนั้นนะ พูดผิดหมด

ทีนี้พูดถึงความหยาบละเอียดไง ถ้าปัญญากว้างไกลมันจะรู้ของมัน มันจะเห็นของมัน แต่ถ้าปัญญาไม่กว้างไกล แล้วตอนนี้ อย่างเช่น เมื่อวานไปนะ มีคนเข้ามาหาเยอะ แล้วคนเข้าหานี่ ประสาเราเลยนะ เราได้ข่าวมา คนที่แบบว่าเมื่อก่อนเป็นไม้เบื่อไม้เมาทั้งนั้นเลย อันนี้มันเรื่องของเขา มันเรื่องของเขาตรงไหนรู้ไหม มันเรื่องของเขา ขนาดที่วุฒิภาวะของเขา เขารับรู้ได้ขนาดนั้น

แต่กาลเวลามันพิสูจน์ไง ถ้ากาลเวลาพิสูจน์แล้วนี่ นี่ถ้าพระสงบ โทษนะ ถ้าพระสงบมันชั่ว มันต้องออกหางไง มันต้องมีผลสิ แต่นี้มันมาขนาดนี้ มันมีอะไรออกมาล่ะ มันมีอะไรเป็นสิ่งที่วัดได้ แต่ไอ้ที่ว่าพระดีๆ นั่นนะ พระที่ของเขาว่าแจ๋วๆ นั่นนะ มันเริ่มแพลมหาง ออกมาทั้งนั้นล่ะ มันมีหางงอกมา อันนั้นนะมันฟ้อง

ฉะนั้นอันนี้มันเป็นสิ่งที่เขารับรู้ไม่ได้ไง ไม่มีใครรับรู้ได้ ใครจะว่าพระองค์ไหนดี องค์ไหนไม่ดี ใครการันตีใครไม่ได้ ใครจะการันตีใครดีใครเลวไม่ได้หรอก มันอยู่ที่เขาทำนะ เราก็เข้าใจว่าเขาดี เราก็ปรารถนาดีกับเขา ทุกอย่างปรารถนาดีต่อเขา แต่เขาไม่ดีกับเรา คำว่าไม่ดีกับเราคือว่าเขาทำดีไม่ได้ไง ความดีคือความดีนะ ไม่ใช่ใครทำความดีแล้วจะได้ผลตอบสนองดี ความดีของเขา นี่ความดีความเลวของตัวบุคคลทั้งนั้น ใครทำคนนั้นได้ ทำดี เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกทำดีได้ทำชั่วได้ชั่ว ฉะนั้นทำดีของเราไป

นี่ เวลาหลวงตาพูดอะไรนี่มันจะกินใจเรามาก เวลาท่านออกมาทำเห็นไหม ใครจะเป็นอย่างไรเรื่องของเขา เราจะทำดี แล้วก็ยังวิตกวิจารกันไป เห็นไหม เรื่องเมื่อวานเขามาพูด พยายามพูดถึงหมู่คณะ หมู่คณะมันก็เป็นอย่างนี้ แล้วพระมาหาเราหลายองค์มากเลย มาถึงก็วิตกวิจารเรื่องหมู่คณะ เราบอกเลยว่ามันเป็นอย่างนี้เอง

หลวงตาพูดเอง เวลาหลวงตาพูดกับเรานะ หลวงตาพูดว่า ของจริงกับของปลอมมันอยู่ด้วยกัน เราปรารถนาแต่จะให้เป็นความจริงหมดนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ในของปลอมนั้นเห็นไหม ในสังคมคนเลวมันก็มีคนดี ในสังคมคนดีมันก็มีคนเลว มันอยู่ด้วยกัน ทีนี้การอยู่ด้วยกันนี่ เราจะใช้วุฒิภาวะอะไร มาพิสูจน์ นี่เหมือนกัน ทำดีได้ดี มันต้องคิดว่า ดีของใคร ถ้าจะดีๆก็คือดี

โยมนะ โยมทำดีแล้วสบายใจได้ โยมทำดี คือดีของเรา ใครจะดูถูกเหยียดหยามเรื่องของเขา เรื่องของเขา แต่เราทำดีของเราไป แล้วให้มั่นคงกับความดีของเราไป มั่นคงกับความดีไป ความดีมันต้องให้เป็นความดี

ถ้าเขาไม่ทำดีกับเรามันก็กรรมของสัตว์ มันเรื่องของเขา ไม่ต้องไปตกใจ เสียใจ ทำความดีนี้ไป นี่การทำความดีนี้ไป ดูซิ พระเวสสันดร ทำความดี ชาวบ้านเขาไล่ออกจากเมืองเลย เราทำดีขนาดไหน แล้วใครจะไล่อย่างไร มันเรื่องของเขา

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนเรามีบุญมีกรรม เขาเรียกว่าทำดีไม่ขึ้นไง ทำดีกับเขา เขาไม่เห็นความดีของเราเห็นไหม มันเรื่องของเขา ถ้าเราทำดีกับเขา อย่างเช่น เรานี่ แค่ให้คนชม คนชมนี่นะ ไม่มีทาง เขาจะเอาน้ำสาดโน่นนะ ใครจะชมเอ็ง ไม่ต้องไปคิด ความดีก็คือความดี เราเกิดมาทำอย่างนี้มันเป็นความดี เราเห็นเป็นความดี ใครจะไม่เห็นมันก็เรื่องของเขา แต่มันจะให้ผลดีกับเรา เพราะการกระทำอย่างนี้

ดูสิ อย่างหลวงตาพูดบ่อย พระอรหันต์เห็นไหม กินข้าวไม่เคยอิ่ม

ถ้าคำว่าพระอรหันต์นะ เพราะอาจารย์สิงห์ทอง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย นางปฏาจารา กับนางอะไรที่ว่าหนีตามผู้ชายไป นั่นพระอรหันต์นะ ถ้าพระอรหันต์ทำไมมีมุมมองอย่างนี้ เพราะคำว่าพระอรหันต์ มันต้องมีแสนกัป คือว่าสร้างบารมีมาจนจิตนี่วุฒิภาวะมันรองรับ อริยภูมินี้ได้ แต่ทำไมก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ทำไมเป็นอย่างนั้น ปฏาจาราก็หนีตามเขาไปนะ แต่สุดท้ายแล้ว เวลาจะกลับมาเป็นพระอรหันต์เห็นไหม กลับมาเป็นพระอรหันต์นะ

แล้วนี่เขามาวิเคราะห์กันไง เพราะอาจารย์สิงห์ทองพูดคำนี้บ่อย เราสะดุดหูเรามาก ท่านเทศน์นะว่า นี่เป็นพระอรหันต์ แต่ทำไม โทษนะ ทำไมหนีตามผู้ชายไป พอหนีตามผู้ชายไปแล้วนี่ พอไปเห็นทุกข์เห็นยากไง พอเห็นทุกข์เห็นยากปั๊บ ตั้งแต่เสียสามีไปก่อน ใช่ไหม กลับมาเสียลูกสองคน คิดถึงพ่อแม่ ฝนตกฟ้าผ่าตายหมดเลย ช็อกหมดเลย นี่จะบอกว่ามันก็เป็นการแบบว่าให้ตัวเองได้สติ คือแบบว่าถ้าเราไม่มีการสูญเสีย ไม่มีการสะเทือนใจ เราก็ไม่ใฝ่ดี ไม่หาผลตอบสนองที่ดี เห็นไหม

อย่างเรา โอ๋!กันไป โอ๋!กันมา โอ๋!ก็อยู่กับโอ๋!นี้แหละ ไม่ไปไหน แต่ถ้ามันไปเผชิญความจริงของมันนะ มันสะเทือนเรานะ พอมันสะเทือนขึ้นมา ฮืม ! นี่ไม่ใช่ความจริงของเรา นี่ต่อสู้กับมัน คนพูดบ่อยนะว่าทำไหมหลวงตา หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานี่พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ทำไมไปเกิดเป็นลูกชาวนา ไปเกิดทุกข์ๆยากๆ มันก็มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นล่ะเป็นลูกกษัตริย์

ถ้าอย่างนั้นมันไม่ไหวไง เพราะเกิดอย่างนั้นมันติด แต่ถ้าไปอย่างนี้เห็นไหม เราเรียกว่าเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในสังคมวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติ ในประเทศสมควรนะ หนึ่ง เกิดในประเทศสมควรในการประพฤติปฏิบัติ เกิดในครอบครัวที่ส่งเสริมกัน นี่เกิดในที่สมควร แล้วพอมาปฏิบัติขึ้นมานี่ การปฏิบัติวุฒิภาวะอันนี้มันจะมารองรับ

ฉะนั้น ทำดีต้องได้ดี ทำดีนี่นะ คนเขาว่าเซ่อ แต่ถ้าคนเอารัดเอาเปรียบเขาว่าฉลาด ไอ้คนฉลาดนั่นนะ เราทำอะไร เรารู้อยู่กับตัว

การเมืองตอนนี้ พวกนักการเมืองเขาพูดกัน คนดีกับคนดีเข้ากันศักยภาพไม่ค่อยมี แต่ถ้าคนชั่วกับคนชั่วเข้ากัน ศักยภาพมันเยอะมาก ศักยภาพเยอะมาก เพราะคนชั่วมันจะตอบสนองกัน คนชั่วเข้ากับคนชั่วเข้ากันจะมีศักยภาพ ผลของการทำลายนี้สูงมาก

คนดีเข้ากับคนดีศักยภาพน้อย เพราะคนดีมันมีแต่เมตตา มีแต่ทำคุณงามความดี คนดีกับคนดีเห็นไหม คนดีคือมันทำดีไง ศักยภาพก็เรื่องธรรมดานะ แต่ถ้าคนชั่วมันมีศักยภาพของมันนะ การทำลายล้างนี่แรงมาก นี่นักการเมืองเขาว่ากันอย่างนั้น

คนดีกับคนดีเข้ากัน เราทำความดีของเรานี่ ความดีมาเห็นไหม มาวัดมาวาอยู่กับความสงบเห็นไหม เราทำเพื่อปัญญาของเรา คือจากข้างใน ข้างนอกเขารู้อะไรด้วยละ เขาไม่เห็นนะ แต่คนชั่วมันทำ โอ้โฮ มันเผาทำลาย เราสร้างกันมาเป็นสิบๆปี มันจุดไฟไม้ขีดไฟก้านเดียวหมดเลย ฉะนั้นเห็นไหม ผลการทำลายของกิเลส ผลทำลายของพญามารมันทำได้รุนแรง

แต่ทำดีของเรานี่ ก่ออิฐ ก่อหิน ก่อทราย ก่อปูนทีละก้อน เกือบเป็นเกือบตาย คนละเปาะ คนละแปะ กว่าจะขึ้นมาได้ นี้ไงทำดีมันยากตรงนี้ ทวนกระแสไง

ทีนี้ พูดถึงที่ว่าการมอง สายตาที่มองกว้างไกล ขณะที่เราทำอะไรนี่ โอ๊ย มันโดนแรงเสียดสี ไอ้กรณีของเรานี่ ไอ้กรณีที่พูดนี่ เพราะเราได้ยินมาบ่อยมากเลย เพราะกรณีอย่างนี้ เขาเรียกว่าจัดคำพูดเห็นไหม

โธ่! มันยิ่งกว่านี้นะ เวลาหลวงตาพูดถึงลูกศิษย์ลูกหานี่ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี คนไหนที่ด่ามาก คนนั้นนะรักมาก พ่อแม่รักคนไหน พ่อแม่จะดูแลคนนั้น ถ้าคนนี้ไอ้เหลือขอนะ อุ้ย ไม่เอาเลย ไม่พูดเลย ปล่อยเลย พ่อแม่ด่าคนไหน ไอ้คนนั้นจะได้ดี

นี่ก็เหมือนกัน เวลาท่านมานะ โอย พูดแซวแล้ว แซวอีก แซวหน้า แซวหลังนะ แล้วเขาก็จับประเด็นนี้ไป นี่ไง เราถึงบอกว่า เวลาหลวงตาไปไหน คนที่ไม่เข้าไปเจอกับหลวงตา ก็เพราะกลัวหลวงตาด่าไง กลัวหลวงตาด่า เพราะด่าคำนึงแล้วมันเสียหน้าไง

แต่โธ่! หลวงปู่เจี๊ยะนะ ต้องถามพวกไอ้เขียว ไอ้มานะ เราเคยไปนะ ท่านกำลังเหยียบนมสาวนะ “หงบ มานี่ มานี่” เราเข้าไปนวด ด่าใหญ่เลยนะ เราก็ไม่รู้เรื่อง จริงๆไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าทำอะไรมา ท่านก็เหยียบ ออกบริหารไปไง ท่านก็ด่าไปเรื่อย เราก็นั่งฟัง นั่งฟัง มันก็งงนะ เอ้! มันเรื่องอะไรวะ ท่านก็ด่าใหญ่เลยนะ มันก็เรื่องอะไรวะ ด่าไปด่ามานะ จน “เอ่อ หงบ มึงไปเถอะ กูเหนื่อยแล้ว มึงไปเถอะ” ไม่รู้ เอ้า จริงๆนะ ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด ท่านก็กำลังเหยียบนมของท่านอยู่ ท่านก็เรียกเข้าไป ท่านก็ด่านะ ด่าใหญ่เลย

ไอ้เราก็นั่งฟังนะ ท่านจับที่ราวลูกกรงไง แล้วท่านก็เหยียบของท่านไป ท่านก็อัดเข้าไปเรื่อย เราก็นั่งฟังว่ามันเรื่องอะไร

สุดท้ายนะ “ เออ เอ็งไปเถอะ กูเหนื่อยแล้ว กูด่าจนเหนื่อยแล้ว ” เออ กูก็ไป ไม่มีปัญหานะ เออ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี โธ่ ! ไม่คิดอย่างนี้ไม่ได้

ตอนเราอยู่บ้านตาด ที่พูดประจำ เวลามีของขึ้นมา หรือหลวงตาเดินมา วิ่งหนีหมด อย่างที่ท่านพูดนะ วิ่งหนีหมด เรานี่เผชิญหน้าอย่างเดียว เข้าไปเผชิญหน้า ใหม่ๆก็โดน เพราะท่านลองเชาวน์ปัญญา เราก็ทำ ไปหยิบนั่นมา หยิบนี่มา คนเรานี้นะ มันจะไม่รู้ไปหมดทุกอย่างหรอก หยิบผิดหยิบถูกนี่มันมี จนสุดท้ายนะ พอเห็นเราเข้าไปบ่อยครั้งเข้า เพราะมันสลดสังเวชนะ

เราสลดใจเองตอนอยู่กับหลวงตา สลดใจตรงไหน สลดใจเวลาท่านเดินมา ท่านต้องการสิ่งใด ท่านต้องไปหยิบฉวย เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ก็มีข้อวัตรกัน แต่ท่านไม่เอา หลวงตานี่ท่านบอกท่านอยู่คนเดียว ใครอย่ามาใกล้นะ จะเข้าไปทำข้อวัตรตอนท่านไม่อยู่ ถ้าท่านอยู่ไม่ให้เข้าไปยุ่งกับท่าน คนนิสัยมันไม่เหมือนกัน

ทีนี้พอเวลาท่านไปไหนมา เวลาจะดื่มน้ำอะไรนี่เราจะเข้าไป มีอยู่ทีหนึ่งนะ ท่านเดินมารอบศาลาเก่านั่นนะ ท่านยืนอยู่แล้วก็คายหมาก แล้วท่านก็ยืนเฉยๆ มันมีพระนั่งอยู่หลายองค์ไง เราก็นั่งมองกัน ท่านจะเอาอะไร คิดไม่ทันไง สุดท้ายท่านก็เดินไปเอาแก้ว แล้วก็ไปเปิดน้ำบ้วนปากเอง โอ้โฮ! แค่นี้แม่งคิดไม่ออก เราคิดของเราเอง แค่นี้คิดกันไม่ได้

นี่พอเราเข้าไปเผชิญหน้า พอมีอะไรเราจะเข้าไปบ่อย จนสุดท้ายท่านพูดกับเราเองนะ เวลาท่านเหลียวซ้าย เหลียวขวาจะเรียกคนนะ พระจะหายแว้บเลย เรานี่นะ โทษนะ แหลมเข้าไปเลย พอเข้าไปนะ

“ ท่านรู้ไหมว่าไอ้นั่นเก็บไว้ที่ไหน ไอ้นี้เก็บไว้ที่ไหน ”

“ ผมไม่ทราบครับ ”

“ ไม่ทราบไปตามคนรู้มา ”

ไม่ด่าหรอก เพราะอะไร เพราะท่านตรวจสอบจนแน่ใจไง ที่ว่าท่านจะคอยดูพระว่าแน่ใจแค่ไหนว่ามันมีอะไร แต่หลายองค์ เวลาท่านเอ็ด ท่านว่านี่นะ มันยังไม่รับรู้ หรือประสาเราว่าหนังหนา ท่านพูดอย่างนี้เลยนะ ท่านจะรีบไปธุระก่อน เดี๋ยว!จะกลับมาเอารอบสอง ด่ายังไม่สะใจ เดี๋ยวจะกลับมาด่าอีก อย่างนี้ก็เยอะ อย่างนี้แสดงว่าเขาไม่ยอมรับสภาพไง

คือ คำสอนนี้ต้องการให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ท่านไม่ได้ด่าจะฆ่า ท่านด่า นี่เราใช้ว่าคำด่านะ นั่นคือการเทศน์ การสอน พอท่านสอนเราแล้วนี่ เราเปลี่ยนแปลงความรู้สึก เปลี่ยนแปลงความคิดนี่ ท่านหยุดแล้ว

เพราะเวลาท่านพูด ท่านบอกว่า เวลาท่านเทศน์นี่นะ ท่านด่ากิเลสของเรา ไม่ใช่ด่าตัวเรา ด่าทิฐิมานะ ด่าความเห็นผิด ด่าความยึดมั่นถือมั่น ถ้าเอ็งคายตรงนี้ก็จบ คำที่ท่านพูด ท่านพูดเพื่อให้เราคาย เหมือนของที่มันยึดมั่นอยู่ ท่านพูดจะให้มันปล่อยมันวาง ท่านไม่ได้จะฆ่ามึง

เวลาพระอยู่กับหลวงตานะ ถ้าท่านใส่ขนาดไหนนะ นั่นละ ท่านรัก ท่านเอาไว้ แต่มีประเด็นหนึ่ง ดื้อที่สุดเหมือนกัน ท่านก็ด่าอย่างนี้ แล้วด่าแล้วไล่ออก ต้องไป แล้วก็ด่าบอกสอน แล้วเวลาจะสรุปนะ เวลาจะให้ออกนะ ท่านไปเถิดนะ ท่านไป พูดนิ่มมาก ถ้าคนอย่างนี้ คือ ประหารนะ ท่านไปเถอะ เราสอนไม่ได้ ไม่มีโอกาสแก้ไข ท่านไปเถอะ เราสอนไม่ได้ นี่คือแบบว่าเหลือขอ สอนไม่ได้

แต่ถ้าเปรี้ยง เปรี้ยง ไอ้นี้จะได้ดี เปรี้ยงๆ เพราะมันเหมือนกับตีเหล็ก เหล็กมันแดง แล้วค้อนมันตีไปมันได้ผล มันเป็นมีด เป็นสิ่งที่ดี เปรี้ยงๆ แหม ไม่อยากพูดนะ โทษนะ กูโดนด่าทุกวัน โดนด่าควงทุกวันบนศาลา โดนทุกวัน แต่มันก็ทำกันมา ไอ้นี้เวลาเปรียบเทียบไง ฉะนั้นไอ้คำที่ว่าท่านด่าๆ ด่าคนโน้น ไร้สาระ

หลวงตาเทศน์ที่โพธาราม เอามาเรียบเรียงไว้จบหมดแล้ว ด่าไม่ด่ามันอยู่ที่นี่หมด เวลาที่ว่าเขาด่า เขาก็จำไปจากนี้แหละ แล้วถ้าเป็นคำด่านะ เราต้องรีบเอาไปลบๆๆ เอาไปซ่อนไว้ ทำไมกูจะขึ้นเว็บไซต์เอง ทำไมกูจะเอาคำด่าหลวงตากูนี่ ขึ้นเว็บไซต์เองให้ด่ากูล่ะ

อันนี้มันน้อย ของจริงมันอยู่ที่บนศาลาที่วัดป่าบ้านตาด อันนี้มันเล็กน้อยมาก ตอนอยู่ที่ศาลาวัดป่าบ้านตาด นั่นล่ะ เวทีฝึกพระ ไอ้นี้พูดถึงมุมมองของคนไง แล้วกรณีอย่างนี้ไม่มีผลกับธรรมะ แต่มีผลกับโลกธรรม ติฉินนินทา เพราะโลกธรรมมันอ่อนไหว จิตของปุถุชนเห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน

ปุถุชนคือคนหนา โดนสิ่งใดกรอกหู แล้วมันก็ไหลตามไป ฉะนั้น เรื่องอย่างนี้มันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นเรื่องของเขา เขาไม่ได้พิสูจน์ตรวจสอบเห็นไหม ไม่มีผลกับธรรมะไม่มีผลกับสัจจะความจริง เพราะสัจจะความจริงมันเหนือเหตุเหนือผล แต่เรื่องติฉินนินทา มันมีผลกับโลกธรรม

โลกธรรม มันจะเป็นไปกับเขาเห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน เราจะเป็นปุถุชนตลอดไปหรือเราจะเป็นกัลยาณปุถุชน ถ้าเราเป็นปุถุชนตลอดไป ติฉินนินทานี่มันก็จะลากหัวใจเราไปตลอดเวลา

ถ้าเราเป็นกัลยาณปุถุชน สิ่งนี้เราเอามาเปรียบเทียบอย่างที่คิด อย่างที่เราคิด เราอยู่บ้านตาด เวลาหลวงตาด่าเรามากน้อยแค่ไหน มันเอาไปคิด หลวงตาด่าเสร็จปั๊บ ล้างบาตร เช็ดบาตรเสร็จ กลับทางจงกรมนะ เดินจงกรมทั้งวันเลย คำนี้คือหมายความว่าอย่างไร คำนี้หมายความว่าอย่างไร คำพูดอย่างนี้เหตุผลมันเรื่องอะไร เหตุผลนี่ เดินจงกรมทั้งวันๆเลยนะ เดินจงกรมตลอด จนเขาร่ำลือ พระรุ่นเดียวกันเขาจะรู้ว่าเรานี่ วันๆหนึ่งทำอะไรบ้าง เพราะมันมีเหตุมีผลไง

เพราะมันมีต้นทุน ใช่ไหม มันมีเหตุ มันก็อยู่ได้ เรานี่ลอยๆ แล้วจะไปนั่งภาวนาทั้งวัน กี่ชาติมันจะได้ภาวนา จิตมันจะลง ไม่ลง ไม่มีสิทธิ์ ฉะนั้นกรณีอย่างนี้ ประสาเรานะ จะบอกว่านี่เป็นกรณีฟ้องศาลแก้เกี้ยว รู้อยู่ว่ามันไม่มีมูลนะ แต่ในเมื่อเสียหน้านะ กูก็ฟ้องศาลด้วย ว่าหลวงตาด่ามึงๆ

หลวงตาบอกว่าเราไม่ได้ด่าลูกศิษย์นะ เราด่าไอ้คนอยู่แม่น้ำโขงฝั่งโน้นนะ เวลาที่บ้านตาด ท่านพูดนะ เวลาท่านเอ็ดโยมไปนี่ กลัวโยมจะเสียใจไง ท่านบอกท่านไม่ด่าชาวอุดรนะ ท่านด่าไอ้พวกข้ามน้ำโขงไป ด่าไอ้พวกเวียงจันทน์โน้น ปัญญาคนมันไม่ทัน ถ้าบอกว่าด่าพวกนี้นะ โอ๊ย น้อยใจ โอ๊ย ทำดีหลวงตาก็ยังเอ็ด โอ๊ยๆ งอแง จะร้องไห้ ท่านบอกไม่ได้ด่าพวกนี้นะ ด่าไอ้คนข้ามน้ำโขง ท่านสอนขนาดนี้นะ

เราฟังเทศน์มันตลก คือท่านก็ด่าเอ็งนั่นล่ะ ด่าให้มึงเปลี่ยนความคิดนั่นนะ แต่พูดอย่างนี้มันจะเสียใจไง เราไม่ได้ด่าลูกศิษย์เรานะ เราด่าฝากแม่น้ำโขงฝั่งโน้น แหม ไอ้พวกนี้กิเลสมันก็พอง นี่ ของอย่างนี้นะ คนไม่ได้คิดนะ เวลาท่านพูดอะไรแล้วไม่ได้คิด คิดอะไรไม่ออกหรอก

แต่เวลาท่านพูดนะ โธ่!คนลูกศิษย์ภายในนะ ยิ่งด่า ด่าคนไหน รักคนนั้น ประสาเรานะ ตอนที่มาอยู่ที่โพธารามใหม่ๆ เห็นไหม แล้วมาที่นี้บ่อย เวลาเราไปทำวัตร ไปอะไรนะ เวลาพระเจอ หงบทำอะไรวะ เอ้า ก็ท่านมาด่ากู ทำไม มึงอยากโดนด่าด้วยใช่ไหม เวลาเข้ามาด่า มึงก็ว่ามาด่ากู แต่เสร็จแล้วมึงก็ว่า ทำอย่างไรหลวงตามาหามึงวะ ทำไมมาด่ามึงวะ เอ้า แล้วด่าแล้วไปหาทำไมนะ เอ่อ

๕๐ ชั่วโมง พระทำเสร็จหมดแล้ว ที่ท่านมาเทศน์ที่โพธาราม ยังเสียดายหลายทีที่ว่าเทปเสียหนึ่ง สอง ให้ปิดเทป ถ้าวันไหนจะเล่นใครแรงๆ นะ ปิดเดี๋ยวนี้ เราก็ทำไขสือ ปิดนะ ยังไขสือนะ ครั้งที่สาม จับโยนเข้าป่าเลย ต้องปิด ต้องปิด มันมีปิดเทปอย่างหนึ่ง กลับบางทีเราทำเสียเองอย่างหนึ่ง มันขาดไปหลายเที่ยวอยู่ เพราะตอนนั้นยังจับพลัดจับพลู เพราะมาใหม่ๆ ใครไม่เข้าใจหรอก ว่าวัฒนธรรมของครูบาอาจารย์เราเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร เราทำกันไม่พร้อม คือแบบประสาเรานะ เราเป็นพระ แล้วเราไม่มีอะไรเลย แล้ว เราเอาอะไรไปต้อนรับ ไปเก็บข้อมูล ตอนแรก ตอนนั้น อู้หูย ขลุกขลักมาก พอหลวงตามาท่านพูดอะไรดีๆ มาก แล้วมันอัดไม่ได้ คือเทปเราไม่สมบูรณ์ อะไรไม่สมบูรณ์ ทุกอย่างไม่ดีเยอะ แล้วพอมาตอนหลังเริ่มพัฒนาขึ้น

นี่ ประมาณเกือบ ๕๐ ชั่วโมง คือ ๕๐ ครั้ง มาหาเราที่โพธาราม ๕๐ ครั้ง แล้วเดี๋ยวจะเข้าเว็บไซต์ ไอ้ใครด่า หรือไม่ด่าอยู่ที่นั้น ไม่ต้องมาอ้างเล่ห์กันเฉยๆ เป็นการอ้างเล่ห์ เป็นการตัดตอนคำพูดของหลวงตา คำพูดของหลวงตาคำหนึ่งแล้วก็ไปขยายความ ไม่ฟังทั้งกระบวนไง ไอ้อย่างนี้เขาพูดมาตั้งแต่ ๒๐ ปีที่แล้วนะ เราได้ยินมาตลอด แต่ตอนนี้ประสาเราว่าไม่มีทางออก ก็เอามาขายอีก

โอ๊ย เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดถึงแล้ว เขาไปถึงไหนแล้ว เขาไปโลกพระจันทร์แล้ว เขาไม่คิดถึงเรือจ้างแล้ว เรือจ้างเรือแจวมันอยู่ในคลอง เดี๋ยวนี้เขาไปยานอวกาศกันแล้ว ไม่ทันแล้ว บอกมันว่าเขาไปยานอวกาศแล้วนะ มึงยังพายเรือจ้างอยู่ในคลองนั่น แล้วมึงจะมาตามว่าหลวงตาด่าๆ เขาไปยานอวกาศแล้ว

นี้พูดถึงเวลามุมมองเขาเห็นเป็นมุมมองอย่างนี้ แล้วมุมมองพระ เมื่อวานไปอยู่กับพระ สลดใจมากนะ สลดใจว่า เวลาพระมาปรึกษานี้ เขาคิดว่าปรึกษาเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ ทีนี้คำว่าเป็นประโยชน์ของเขานี่ เขาคิดว่าเป็นประโยชน์ แต่ความจริงของเขา เขาทำอย่างนั้น มันเป็นการพายเรือในอ่าง มันไปไหนไม่รอด น่าเสียใจ แต่ตอนนี้เรามาคิดถึงว่า เราไปจากที่นี้ใช่ไหม เรามาคิดถึงเซ้นส์ ถึงวุฒิภาวะไง ถึงโลกทัศน์ ถึงความรู้ของคนว่าอย่างนั้นเลย ถ้าความรู้แค่นี้ ไม่รู้เขารู้เรา ไม่รู้อะไรเลยนี่ ปวดหัวนะ ขนาดเราทำมาขนาดนี้ แต่ก่อนคนเพ่งโทษเรามากเลย

เมื่อวานเรียกปรึกษาหมดเลย แล้วเรียกปรึกษาพูดออกมาแล้ว ก็ยัง อื่อฮือ แต่เราไม่พูดเราเฉย เพราะมันพูดไปไม่ได้ ประสาเรานี่ มันเหมือนกับไผ่แตกกอ คือมีความเห็นอยู่คนเดียว เราไปพูดที่บ้านตาดทีหนึ่ง เขาบอกว่า หงบ กูคิดยังไม่ถึงพวกมึงเลยนะ อาจารย์หลายองค์บอกว่า หงบ คิดไม่ถึงเลย โอ มึงคิดได้ขนาดนี้เลยหรือ มันคิดได้หลายซับหลายซ้อนเข้าไปไง มันคิดไปอย่างที่ว่ามองเหตุผล อย่างที่เราทำ

อย่างดูซิ เวลาเขามา เขาดูตึกของเรานี่ โอ วันนั้นมา พวกมาปฏิบัตินะ หลวงพ่อ โอ้โฮ แอร์ ๗ ตัว ๘ ตัวเลยเหรอ เพราะแอร์ ๗ ตัว ๘ ตัวนี่ ถ้าไม่กล้าทำ มันจะล้มลุกคลุกคลาน มันจะกระเสือกกระสนกันไปอีกเรื่อยๆ จะทำอะไรทีหนึ่ง ก็จะไปเริ่มต้นอีกทีหนึ่ง จะทำอะไรกันแต่ละหนหนึ่ง ก็ไปนับหนึ่งกัน

ไฟนี่ ขยายเขตมา ๓ หนแล้วทีแรกมาถึงก็เอามาดูดน้ำ สุดท้ายพอเอาวิทยุมา ก็เอามาอีกรอบหนึ่ง นี่ ขยายถึง ๓ หนแล้ว ก็เพราะไม่เอาๆ นี่ เสียตังค์ค่าสายไฟไป ๓ รอบ ๔ รอบ แล้วเวลาทำอย่างนี้ มึงจะบอกว่า แหม จะเอาแอร์ ๗ ตัว ๘ ตัว กูเสียตังค์มาหลายรอบแล้ว รอบนี้รอบสุดท้าย เต็มที่เลย มึงจะกี่ตัวก็เรื่องของมึง มึงคิดไป ไปห่วงแต่ว่าเขาจะคิดอย่างนู้น เมื่อก่อนคิดอย่างนี้เหมือนกัน ห่วงแต่จะเสียภาพลักษณ์ๆ ไง เสียภาพลักษณ์มึงก็ไปอยู่ในรูสิ

ไอ้นี่เสียภาพลักษณ์ แม่ง อินเทอร์เน็ตก็จะเอา ทีวีก็จะออกดาวเทียม แม่งจะเสียภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์อะไรของมึง ไม่ใช่คิดว่าเราจะอวดดีหรอก ไม่ใช่ เป็นภาระรับผิดชอบ ครูบาอาจารย์เรานี่ สองสามชั่วอายุคน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก แล้วสมบัติอย่างนี้รักษากันไว้ไม่ได้ ในเมื่อสมบัติอย่างนี้รักษากันไว้ไม่ได้ มึงทำกันไม่ได้ ช่างหัวมึง แล้วเราจะทำขึ้นมา นี่ มันก็ไม่ถึงว่าจะทำนะ แต่ก็เตรียมความพร้อมไว้ ไม่มีการแข่งขัน เราจะไม่มาแข่งขันกันเอง

แต่ถ้าวันไหนมันผิดพลาดไป วันไหนมันจนตรอกขึ้นไป มันก็จะมีโอกาสได้ เพราะว่าถ้าไม่ได้ทำตอนนั้น ตอนนี้เราก็ทำของเราอยู่แล้ว ตอนนี้เต็มไม้เต็มมืออยู่แล้ว

ผู้ทำเว็บไซต์บอกเลย หลวงพ่อ กว่าจะเข้าที่นี่ ๒ ถึง ๔ ปี กว่าจะแกะไอ้พวกนี้จบ อย่างน้อย ๒ ถึง ๔ ปี จะแกะไอ้ข้อมูลของเรานี่ออกมาเป็นตัวอักษรได้จบ เฉพาะงานตรงนี้ก็ล่อกันจนขนาดนี้แล้ว แล้วงานข้างหน้าอีก แต่มันเป็นภาระรับผิดชอบแล้ว ถ้าพวกเอ็งไม่เอางานเอาการ พวกเอ็งจะทิ้ง พวกเอ็งทำกันแต่ต่อหน้าโยม พวกเอ็งทำกันแต่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเอ็ง แล้วถ้าพวกเอ็งทำแล้ว ทำจนเละแล้ว พวกเอ็งจะทิ้งไป ก็เรื่องของพวกเอ็ง

นี่พูดถึงนะ วันนั้นเวลาเขาเอามาพูดนะ โอ๊ย ๗ ตัว ๘ ตัว เราพูดเลย เวลาพวกเอ็งทำอะไรกัน ไม่เป็นไรใช่ไหม เวลาพระสงบมันทำอะไรนี่ ผิดหมดเลยใช่ไหม เวลาพวกเอ็งทำอะไรกัน ไม่เป็นอะไรเลยเนาะ เวลาเราทำอะไรบ้าง ผิดทุกเรื่องเลย แล้วเมื่อวานไปปรึกษากูทำไมกัน เยอะแยะเลย นั่งคอตกกันก็มีนะ แต่เราไม่พูดออกมา มาเห็นหน้าเรานี่ นั่งคอตกเลย

นั่งคอตกอะไรรู้ไหม นั่งคอตกเพราะเขาทำอะไรไปแล้ว ประสาเรานะมันตันหมดไง มันทำไปแล้วมันไปไม่รอดไง นั่งข้างๆนี่ จะพูดเราก็ไม่กล้าพูด จนบางคนสะกิดไปข้างนอกเลย ไอ้หงบมึงมานี่ๆๆ นั่งคอตกกันเลยนะ ไปไม่รอดหรอก ไปไม่รอดเพราะอะไรรู้ไหม ทุกอย่างนะ ถ้าเราไม่มีต้นทุน เราจะเอาอะไรไปทำ

ตอนนี้ชีวิตของพวกเราฝากไว้กับความศรัทธาของเขา การกระทำของเราทุกอย่าง สิ่งที่ทำอยู่นี่ฝากไว้กับอะไร ใครบ้างที่มีเพาเวอร์ ใครบ้างที่จะมีการดูแลรักษาสมบัติของครูบาอาจารย์เรา มีใครบ้าง เอาเนื้อหาสาระไปแขวนไว้กับอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้าน แล้วอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านมันแปรปรวน ถ้ายังมีครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพศรัทธาอยู่ มันก็เป็นได้ วันไหนที่ครูบาอาจารย์ไม่อยู่ แล้วอันนี้มันจะอยู่กันได้ไหม ไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสาน เป็นหลักเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ แล้วถ้าใครมีกำลังขึ้นมา ก็จะมาตัดขาๆกันอยู่อย่างนี้ มันก็ใช้ไม่ได้

นี่พูดถึง เราพูดถึงมุมมอง เราถึงสลดใจไง ขนาดประสาเรานะ ตอนนี้ เขามองเรามีคุณค่าบ้างแล้ว แล้วเวลาเขามาพูดนี่ ธรรมดานี่เขาต้องเปิดออกมา พอเปิดออกมานะ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลยนะ พายเรือกันในอ่าง อันนี้เราคิดถึงมุมมองของเรา นี่พูดถึงมุมมองของโลกนะ แล้วถ้าคิดถึงมุมมองของธรรมสิ คิดถึงปัญญาที่เราจะเข้ามาข้างในสิ

ฉะนั้นอย่างที่โยมว่ากันมานี่ เขาเรียกอะไรนะ ลมปาก ไร้สาระมากเลย โอ๊ย ! เราโดนมามากกว่านี้เยอะ เยอะมากๆ ฉะนั้น เดี๋ยวนี้เวลาไปไหนนะ เอ้า ใครด่า ด่าเลย ตามสบาย ด่าเลย แต่มันมีแต่ดอกไม้ที่เขาเอามาขอขมา

นี้มันเป็นเหมือนกับการเมือง การเมืองนี่ มันต้องมีฝ่ายตรงข้าม เขาเรียกว่ารักษาฐานเสียงไง คือว่าเขากลัวอยู่คนเดียวไง กลัวอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว เขาต้องหาพวกไว้ ก็เท่านั้น เราเข้าใจ เชิญตามสบาย เชิญตามสบาย ไม่มีปัญหาหรอก

นี่เพียงแต่ สังเกตได้ไหม เวลาคนมาขอขมา ทุกคนมาขอขมานี่ ทุกคนแบบว่ามันเขินไง เราจะบอกว่าไม่มีปัญหานะ ที่เราทำทุกๆ อย่างนี่ ก็ต้องการให้คนเป็นคน ให้คนเป็นคน คนๆนั้นมีสติสัมปชัญญะในตัวคนนั้น แค่นั้นเราพอใจ อย่าให้คนมีแต่ซาก ครูบาอาจารย์บอกซากศพเดินได้ คือหัวใจไม่อยู่กับเราไง เราไม่เป็นเอกเทศกับเรา เรามีแต่โครงสร้างร่างกาย เดินไปเดินมา เพื่อให้มีชีวิตเท่านั้นเอง แต่ความเชื่อความศรัทธาไปให้คนอื่นเอาไปหมดเลย นี่คนไม่เป็นคนไง มีแต่โครงสร้าง มีแต่ร่างกาย แต่หัวใจไม่มีเลย

ถ้าเอ็งกลับมามีศักยภาพในตัวของเอ็ง แค่นี้เราก็พอใจแล้ว ไม่ต้องขอขมา แค่นี้แหละ ความมุ่งหมายของเราให้คนเป็นคน ทุกคนเป็นอิสรภาพ ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แค่นี้ ! เราต้องการแค่นี้จริงๆ ให้ทุกคนยืนบนตัวเองได้ ให้ทุกคนรักษาตัวเองได้ ให้ทุกคนเป็นคนขึ้นมา แล้วมึงปฏิบัติไป เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสมาธิจะเป็นกันเอง เป็นปัญญานะ ปัญญาในหัวใจเอ็ง จะรักษาแก้กิเลสของเอ็งเอง มันเป็นสันทิฎฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง

ธรรมะจะเกิดจากหัวใจของเรา ความรู้ความเห็นจะเกิดจากหัวใจที่เอ็งเป็นนั้น แล้วเอ็งเอาความรู้สึกนี้ไปฝากไว้กับคนอื่นหมดเลย แล้วมึงจะเป็นตัวมึงเองได้อย่างไร แล้วมึงจะมีธรรมะได้อย่างไร มึงจะมีธรรมะได้ต่อเมื่อมึงกลับมาฐีติจิต กลับมาอยู่ในตัวของเอ็งเอง กลับมาในภพ กลับมาในหัวใจนั้น แล้วหัวใจนั้นเป็นความสงบ แล้วหัวใจนั้นมันออกพัฒนาของมัน แล้วหัวใจนั้นมันจะฆ่ากิเลสออกไป ฆ่ากิเลสๆ ออกไป

ฉะนั้น เริ่มต้นเห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูหลวงตาสิ พรรษามากจะถีบออกไปหมดเลย ให้ออกไปสร้างเนื้อสร้างตัว ให้เป็นตัวอิสรภาพ

ดูสิ หลวงปู่บุญมี เห็นไหม นี่มันเป็นพ่อตาได้แล้ว จะมาเป็นลูกเขยได้อย่างไร มันเป็นพ่อตาแล้ว คือว่ามันมีศักยภาพ จนขนาดว่าต้องออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวเห็นไหม นี่ ครูบาอาจารย์ของเราเป็นอย่างนี้ เพื่อจะให้สังคมมันมั่นคงแข็งแรงขึ้นมาเห็นไหม ใครที่สร้างตัวได้ ใครที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ ให้ออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาให้เป็นจุด เป็นประเด็นขึ้นมา เป็นอาจารย์ เป็นหลักเป็นชัย ให้คนได้พึ่งอาศัยเห็นไหม นี่ ! หลวงตาท่านทำอย่างนี้ตลอด

ไปที่วัดไหน สังเกตสิ วัดไหนนะ วัดทั่วไปนี่ จะมีพระตั้งแต่หัวหน้าเรียงลำดับไป โอ้โฮ เต็มวัดเต็มวาเลย แต่หลวงตาท่านอยู่องค์เดียว แล้วถ้าใครมีศักยภาพจะให้ไปอยู่ที่โน้น ให้ออกไปๆๆ ท่านไม่ได้ทำเพื่อใครเลย ให้ออกไปเห็นไหม แล้วดูวัดทั่วๆไปสิ ให้เข้ามาๆๆ ให้เข้ามาเป็นฐานให้ฉันไง ให้เข้ามาให้เป็นพื้นฐานให้ฉันได้มีศักยภาพไง คิดแต่ตัวเองไง แล้วไปไม่รอด

แต่หลวงตา เห็นไหม ใครมีศักยภาพ ออกไปๆๆ ให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้ประชาชนมีที่พึ่ง ออกไป ดูสิ ดูพระพุทธเจ้า เห็นไหม

“ ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเรา พ้นจากบ่วงของมาร บ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน ”

ชาวโลกเขาขาดประโยชน์ของเขา เธออย่าไปซ้อนทางกัน ให้แยกออกกัน เห็นไหม ให้เผยแผ่ไป อย่าไปคู่ ไปคู่ยังเสียเลย ให้แยกออก ถ้าไปหนึ่ง เป็นคู่ไป ไปแยกกันได้สองเห็นไหม สองก็สองหมู่บ้าน สองสังคม แยกออกไปๆ นี่ ครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้น

นี่เหมือนกัน ของเราขึ้นมานี่ ให้กลับมาที่เรา ถ้าใครทุกคน คนเป็นคนขึ้นมานี่ เราพอใจ ฉะนั้น ถ้ามีหลักมีเกณฑ์เรื่องนี้มันจะเป็นได้ นี่พูดถึงสายตา วุฒิภาวะ การมอง ถ้ามันมองได้อย่างนี้มันก็จบ ถ้ามันมองไม่ได้มันก็ไม่ได้ ของอย่างนี้นะ เมื่อก่อนก็คิดแบบพวกโลก คืออยากจะทำ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วละ มันอยู่ที่ประวัติศาสตร์ อยู่ที่อดีตชาติ อยู่ที่จิตใจที่สร้างมา เราจะไปบีบคั้นให้คนฉลาด ให้คนเก่งทุกคน ไม่มีหรอกว่ะ เหนื่อยตายห่าเลย เขาต้องฉลาดจากหัวใจของเขา เขาต้องเป็นขึ้นมาจากใจเขา แล้วเราช่วยกัน แต่จะไปบีบให้เขาฉลาดนี่ โอ๊ย ทุกข์ตายเลย ฉะนั้นเราก็ทำของเราเต็มที่นะ เราก็ทำเต็มที่

เรารู้ถึงหลวงตานะ เวลาท่านมาหาเราเห็นไหม ท่านมาหาเราท่านก็เห็น ดูสิ เวลาท่านมารับที่ เห็นไหม ท่านบอกว่าที่อื่นเราไม่รับเลย เพราะอะไร เพราะเราต้องเป็นภาระ ต้องหาคนไปอยู่ แต่นี้มีผู้รับผิดชอบอยู่แล้วเรารับได้ เวลาท่านมารับที่ที่นี่ มีผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ไอ้ที่ว่าเราให้โยมถวายท่านก็เพราะเหตุนี้ไง หนึ่ง โยมได้บุญ สอง ท่านรู้ถึงภาระ ท่านรู้ถึงว่าการรับแล้วนี่มันต้องดูแลขนาดไหน

บ้านของคนนี่นะ ดูแลกันเองง่ายกว่าพระ เพราะพระมันเป็นบุคคลที่ไม่ผูกพันทางสัญญาใดๆทั้งสิ้น อยู่ที่ความสมัครใจ ถ้าดีก็จะอยู่ ไม่ดีก็เก็บของไป มันเป็นเรื่องอิสรภาพ มันไม่มีกฎกติกาบังคับ ไม่มีหรอก ฉะนั้นการดูแลรักษาของที่เป็นสาธารณะยากกว่าการดูแลรักษาสมบัติส่วนตน

อย่างเช่น บ้านของเรามันเป็นสมบัติของเรา วัดนี้มันเป็นสมบัติสาธารณะ ผู้ที่ดูเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของในของที่ดูแลรักษา อยู่กันด้วยความลงใจ อยู่ด้วยความเคารพคุณธรรมในหัวใจ นี่ที่เราทำเห็นไหม ที่ให้ท่านรับรู้ ท่านถึงเวลารับ ท่านจะพูดอย่างนั้น

นี่ หัวใจมันคนละหัวใจ เราจะบอกเลย เราพูดเรื่องนี้บ่อย หัวใจคับแคบ หัวใจกว้างขวาง แล้วหัวใจเห็นประโยชน์สาธารณะ ประโยชน์ส่วนตน ถ้าเห็นประโยชน์สาธารณะก็ประโยชน์สาธารณะ เรื่องอย่างนี้ ดูสิประโยชน์สาธารณะ

อย่างเช่น ไปงานนี่ เราเอาแบบอย่างมาจากหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบไปงานเผาหลวงปู่มั่น ท่านไม่ได้เข้ามาในงานเลย ท่านอยู่ข้างนอก หลวงปู่ชอบนี่ ครูบาอาจารย์ที่เป็นของจริง ท่านไม่เสนอหน้า ไม่ต้องการสิ่งใด แล้วเวลาเราไปไหน เราจะไม่ทำอย่างนี้ ถ้าเราไม่เสนอทุกๆอย่างเราจะไม่เป็นเป้าให้ใคร เราทำตัวเองนี่ไม่ให้เป็นเป้า แต่มันดันเป็น ดันเป็นเพราะอะไร เพราะมันมีเนื้อหาสาระ มีผลงานไง เราจริงๆนี่ เราจะรักษาตัวเราไม่ให้เป็นเป้า

เช่น หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าตลอด ท่านไม่ให้เป็นเป้านิ่งของใครเลย แล้วท่านสร้างประโยชน์กับสังคมขนาดไหน ใครก็แล้วแต่ถ้าเป็นเป้าไปรับภาระ จะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราไม่เป็นเป้าเลยนะ เราอยู่เบื้องหลัง อยู่เบื้องหลังตลอดไม่อยู่เบื้องหน้า ทีนี้การอยู่เบื้องหลังตลอดนี่ เราจะสร้างอะไรได้มหาศาลเลย เห็นไหม เราไปไหนที่เราไม่ออกข้างหน้า เพราะเราไม่อยากอยู่เบื้องหน้า

วันที่ไปมอบทอง มันตกกระไดพลอยโจรนะ พอตกกระไดพลอยโจรไปนั่งข้างหน้านะ ท่านขึ้นมา พอหันมา ท่านมองใหญ่เลยนะ เพราะอะไร ท่านรู้ว่านิสัยมันไม่เป็นอย่างนี้ นิสัยมันไม่เป็นอย่างนี้หรอก แล้วนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ไอ้ที่ไปนี่มันเป็นการตกกระไดพลอยโจร เพราะเขาขอให้ไป นี่พอขอให้ไปแล้ว ประสาก็ขึ้นไปแล้วก็ขอกราบหน่อยหนึ่ง ว่าอย่างนั้นเถอะ มาก็ขอกราบก่อน แล้วขึ้นมาแล้วก็ พอขึ้นมาก็กราบก่อน กราบเสร็จแล้วก็ เอ่อ สบตาปุ๊บเลย

เราไม่เป็นเป้าใช่ไหม เราอยู่เบื้องหลัง แล้วงานมันจะได้ แต่ถ้าเราจะออกเบื้องหน้าๆไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีประโยชน์ เพราะเราทำงานเพื่อสาธารณะ เราไม่ได้ทำงานเพื่อเรา เพื่อตัวตนมันไม่มี นี่ เวลามอง ถ้ามันเวลามองอะไรก็แล้วแต่นะ ไม่มีเรานี่ จะมองอะไรได้ชัดเจนมากเลย แต่ถ้ามีเรามองอะไรไม่ชัดเจน ถ้ามีเรานะ มันคิดแล้ว ถ้าไม่มีเรา เราทำอะไรก็เพื่อประโยชน์ อะไรก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ถ้ามีเรานะ ทำเสร็จแล้วกูอยู่ตรงไหน กูจะยืนอยู่ตรงไหน มันคิดกันตรงนั้นไง มุมมองก็เลยแคบ

แต่ถ้าไม่มีเรา ทีนี้คนเขาไม่เชื่อ ไอ้เขาไม่เชื่อมันก็เรื่องของเขา เพราะเรื่องนี้มันเชื่อได้ยาก แต่อย่างว่าล่ะ ถึงเวลาตายไปแล้ว คนมันถึงได้คิด อ้อ จริงว่ะ มันตายแล้ว เพราะมันอยู่ มันไม่รู้ว่ามันจะกลับวันไหน ถ้ามันตายแล้ว กูเชื่อแล้วเพราะมันตายไปแล้ว มันจะไม่มีวันได้พลิกกลับแล้ว ฉะนั้นต้องรอให้ตายก่อน นี่พูดถึงมุมมองกันนะ ไอ้นี้เรื่องของเขา มองแคบ มองกว้าง มองไกล ทำดีต้องได้ดี กรณีอย่างนี้เรายืนยันมาตลอด

แล้วมันเชื่อมั่นพระพุทธเจ้า ตอนที่มาอยู่โพธารามใหม่ๆ เราโดนทุกอย่างเลย โดนกระทืบหมดเลย มันจะคิดอย่างนี้ กูจะจับโกหกพระพุทธเจ้า กูทำดีนี่ กูจะจับโกหกพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าบอกทำดีต้องได้ดี กูทำอย่างนี้ทำไมมันจะตาย ไม่เห็นตายเลย แล้วมันก็ผ่านมาได้ แต่วิกฤตนะ โอ๊ย พระมาเจอนะ หงบ กูไม่ไหวแล้ว กูทำอย่างนี้ไม่ได้ พระบุญส่งพูดเอง เพื่อนกันมาเจอนะ กูไม่เอา พูดเลย หงบ มึงทำไปทำไม กูไม่ทำหรอก เขาไม่ทำกันแล้ว มึงทำๆไม เขาพูดอย่างนี้ พระมาพูดอย่างนี้ทุกคน

แต่ตอนนั้นมันก็ยืนมา แล้วตอนนั้นมันยัง ห้าสิบๆอยู่ไง แล้วถึงตอนนี้พระผู้ใหญ่บางทีเราไปขอความช่วยเหลือ เขาไม่ช่วยเหลือ เราถึงเฉยๆไง แล้วพอตอนนี้มาแล้วเป็นอย่างนี้ ตอนนั้นมานะ ตอนอยู่โพธารามนะ ทุกคนมาหานะ

“ หงบ เลิก เก็บของไป ”

“ หงบ เลิกๆ ” อย่างนี้ตลอดนะ ใครมาก็ให้เลิก ไอ้เราจะเลิกเก็บของไปนะมันง่าย

แต่ที่ความรู้สึกกับเรานะ คหบดีที่พื้นที่นี่ เขามาช่วยเหลือกันนี่ เราทิ้งเขาไปเขาเสียหายไง แล้วเขาจะอยู่ในสังคมอย่างไร แต่ถ้าเราจะไปนะ สร้างวัดเสร็จแล้ว ตั้งแต่วันที่ออกจากโพธารามไม่เคยกลับไปเลยนะ นี่ปีที่ห้าแล้ว ออกจากโพธารามมากูไม่เคยกลับไปเลย เขาจะหาว่าติดที่ไง ติดที่ ติดสังคม ติดอะไร เอ้า เวลาอยู่ๆ ก็อยู่มา ๒๐ ปีนะ เวลาออกมานี่ยังไม่ได้กลับไปเลย เอ้า มันคิดว่า เขาคิดว่าจะรอเขาอยู่ไง จะรอให้เขาเข้ามาไง เวลาออกไปแล้วเป็นอย่างไรตอนนี้ มึงจะเจอกูอีกไหม มันวัดใจกันนะ

ฉะนั้นเรื่องอย่างนี้มันเป็นที่มุมมองของเขา นี่ความเห็นของเรานะ ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะทำเพื่อประโยชน์นะ ทำได้ เพราะประสาเราๆปฏิบัติใหม่ๆ มันบอกเลยต้องตายเดี๋ยวนี้ ตายแล้วมึงไปไหน มันคิดเลยนะ เพราะมันมีผู้คิด เดี๋ยวนี้ถาม มึงตายแล้วไปไหน เอ้า มึงตายแล้วไปไหนตอนนี้ ถามตัวเองนี่ มึงตายแล้วไปไหน หาเหตุผลไม่เจอ มันจบแล้วมันก็จบ พอจบแล้ว พอขณะนี้ มันอย่างนี้ ของใช้อยู่ทุกวัน ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก

เพียงแต่ว่าอย่างที่ว่านี่ เราคิดนะ นี่หลวงตา เขาพูดกันเมื่อวาน เขามาพูดกับเราเยอะมาก เราบอกอาจารย์ ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก อาจารย์รอให้หลวงตาร่วงไปแล้วนะ อะไรที่มันซ่อนเร้นอยู่มันจะออกมาให้เห็นอีกเยอะแยะเลย แล้วตอนนั้นอาจารย์จะปวดหูมากกว่านี้อีกหลายเท่า เอวัง